วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

บทที่4-เริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งด้วยการออม

ครั้งก่อน ผมได้ยกตัวอย่างให้ทุกท่านเห็นถึงโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง ด้วยการลดค่าใช้จ่ายบางรายการ ที่เรามักจ่ายออกไปด้วยความเคยชินกันไปแล้ว และผลที่ได้เห็นกันก็คือ ค่าใช้จ่ายแห่งความเคยชินในวันนี้ มีค่าเท่ากับเงินออมหลักล้านบาทในอีก 20-30 ปีข้างหน้า

หลังจากรู้แล้วว่า คุณเองก็มีโอกาสมั่งคั่งกับเขาเหมือนกัน คราวนี้ก็ได้เวลาเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งกันแล้ว และวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมั่งคั่งร่ำรวยได้จริงก็คือ "การออม" นั่นเอง

พูดถึงการออม ผมเชื่อว่าใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดี และจำเป็นสำหรับชีวิต แต่เชื่อมั๊ยครับ เรื่องที่ดี ดูเหมือนง่าย ฟังกี่ครั้งก็เข้าใจ บางที่ก็ทำไม่ได้ในชีวิตจริงเหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจหลักการที่ถูกต้อง

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากมั่งคั่ง แต่ยังไม่รู้วิธีการเริ่มต้น หรือคิดจะเริ่มต้น แต่ยังไม่ได้ลงมือทำกับเขาเสียที วันนี้ผมมีเคล็ดลับมาฝากทุกท่านครับ

หลักการออมเพื่อความมั่งคั่ง

1) ออมขั้นต่ำ 10% ของรายรับ ก่อนหักภาษี

การออมที่เหมาะสมนั้น ต้องไม่มากเกินไป จนเป็นภาระ และก็ต้องไม่น้อยเกินไป จนยากที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน สำหรับผมอาศัยแนวคิดจากหนังสือเล่มโปรดของตัวเอง นั่นคือ The Richest Man in Babylon ที่ว่า "หากต้องการมั่งคั่ง คนเราต้องออมให้ได้ 1 ใน 10 ส่วนของทรัพย์สินที่หามาได้"

ซึ่งสัดส่วนการออมดังกล่าว ก็ไปตรงกันพอดีกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่บอกว่า คนที่มีชีวิตพอมีพอกิน ไม่ลำบากในวัยหลังเกษียณ มักมีอุปนิสัยรักการออม และสัดส่วนเงินออมของพวกเขา ก็คือ 10% ของรายได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณการออมให้มากขึ้น ตามอายุทีเพิ่มขึ้น

แล้วทำไม? ต้องเป็นรายได้ก่อนหักภาษี

ก็เพราะการออมที่ดี ต้องอยู่ภายใต้หลักคิด "จ่ายให้ตัวเองก่อน" นั่นคือ เราควรหักเงินออมจากรายได้เต็มจำนวน (แม้ในความเป็นจริงจะโดนรัฐหักผ่านภาษีก่อนถึงมือแล้วก็ตาม) เพื่อสร้างความรู้สึกของการทำงานเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำงานเพื่อรัฐ ธนาคาร หรือบริษัทห้างร้านต่างๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เงินทุกบาทที่ได้มา ต้องถูกหักไว้ให้ตัวเราเองเป็นคนแรก ก่อนที่จะนำส่วนที่เหลือไปจับจ่าย (จ่ายให้คนอื่น)

จากผลการสำรวจ (อีกแล้ว) พบว่า คนจน หรือคนที่มีเงินขาดมือ มักจ่ายให้ทุกคน แต่ไม่จ่ายให้ตัวเอง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขายังคงจนต่อไป

หมายเหตุ สำหรับผู้ที่ยังติดปัญหาหนี้สิน ก็ยังต้องเริ่มออม โดยอาจเริ่มต้นที่ 3-5% ก่อนก็ได้ ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไม? เป็นหนี้แล้วยังต้องออมนั้น คงไม่ต้องตอบแล้วนะครับ

2) ทำการออมของคุณให้เป็นอัตโนมัติ

หลักการง่ายๆ ของวิธีดังกล่าวก็คือ "เงินที่เรามองไม่เห็น คือ เงินที่เราไม่โอกาสได้ใช้" ดังนั้น จงติดต่อกับธนาคารเจ้าของบัญชีเงินเดือนของคุณ ให้ช่วยหักเงินออม 10% ของรายได้ก่อนหักภาษี ไปยังบัญชีเงินฝากที่เปิดใหม่เพื่อการออมทรัพย์โดยเฉพาะ ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกเดือน ที่สำคัญ ห้ามเบิกเงินในบัญชีดังกล่าวมาใช้โดยเด็ดขาด (ไม่ทำ atm สำหรับบัญชีดังกล่าว ก็ถือเป็นการดีครับ)

เมื่อหักเงินออมไปแล้ว เงินที่เหลือในบัญชีเงินเดือนทั้งหมด ก็สามารถใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะไม่ว่าอย่างไร คุณก็มีเงินออมในแต่ละเดือน เป็นจำนวนที่แน่นอนแล้ว

สำหรับท่านที่ยังไม่รู้เรื่องการลงทุน ผมแนะนำให้หักเงินออมไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากก่อนนะครับ เอาไว้รู้เรื่องการลงทุนอีกนิดค่อยเขยิบหาที่เพิ่มดอกผลจากการออม (จะบอกเล่าในครั้งต่อๆไป)

3) ลงมือทำเดี๋ยวนี้

การเฝ้าดู หรือรอดูคนอื่นทำ ไม่มีทางทำให้เราร่ำรวยขึ้นมาได้ครับ ดังนั้น มันต้องเริ่มต้นทันที ตั้งแต่วันนี้เลย ยิ่งในปัจจุบัน บริการตัดบัญชีนั้น ทำได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น ยิ่งใครสมัคร Internet Banking ก็ยิ่งง่าย ท่านสามารถตั้งการตัดเงินจากบัญชีหนึ่งไปยังบัญชีหนึ่ง โดยกำหนดวัน-เวลาล่วงหน้าได้เลย เพียงเสียเวลาเริ่มต้นสักนิดหน่อย ที่เหลือก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยอัตโนมัติ

ประโยชน์อีกประการหนึ่งการเริ่มต้นทันทีก็คือ ผลจากดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าเงินออมของเราที่จะพอกพูนขึ้นไปตามเวลา ดังคำกล่าวที่หลายคนคงเคยได้ยินว่า "ออมก่อน รวยกว่า" ยังไงละครับ

แม้ว่าเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังในวันนี้ อาจดูไม่เหมือน "เคล็ดลับ" สักเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปคนส่วนใหญ่ก็รู้วิธีการที่ผมเล่าให้ฟังในวันนี้ แต่อย่างว่าแหละครับ

"ความลับไม่ใช่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำมันต่างหาก"

พบกันครั้งหน้าครับ

ที่มา:http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?f=5&t=4345
โดย:คุณDavinci ผู้ก่อตั้งชมรม RichDadthai


บทความต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่รู้จักออม
โดย:คุณ
Tanchaijo  สมาชิกเว็บ RichDadthai
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งผมทำงานเป็นผู้จัดการส่วนการผลิตในโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมโชคดีที่ผมถูกปลูปฝังนิสัยรักการออมมาจากคุณพ่อ ตั้งแต่เรียนจบจนทำงานได้ 5-6 ปี ผมมีเงินเก็บประมาณเกือบ 40% ของรายได้ตั้งแต่เริ่มทำงานรวมกัน

วันที่ผมเริ่มเห็นสัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจที่จะมาส่งผลกระทบกับบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ ผมก็บอกลูกน้องว่าให้ระมัดระวังการใช้จ่ายบ้าง เพราะมันเริ่มเห็นความเสี่ยงบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือ บรรดาลูกน้องที่เคารพของผมก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ กินเหล้าทุกเย็น ว่างๆก็เดินมาเล่าให้ผมฟังว่าเพิ่งไปถอยสเตอริโอชุดใหม่มา วันดีขึ้นดีก็ถอยปิคอัพใหม่มาโชว์และแซวผมว่า "นายช่างยังใช้รถคันเก่าอยู่อีกเหรอ" ผมก็ได้แต่ส่ายหัว :cry: แต่ก็ยังสบายใจกับการขับรถเก่าที่มันยังใช้ง่ายได้อยู่.... อ้าว...จะซื้อรถใหม่ทำไม ในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการจากรถยนต์ก็คือ ฟังก์ชั่นในการเป็นพาหนะนำพาผมจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยที่ผมสามารถบรรทุกของ หรือคนไปด้วยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแดดเรื่องฝนเท่านั้นเอง การที่มันจะเป็นรถคันใหม่ป้ายแดง มันก็ไม่ได้ทำให้อรรถประโยชน์ที่ผมได้รับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดที่หว่า :roll:

ประมาณหนึ่งปีต่อมา บริษัทเริ่มประกาศลดเงินเดือนลง 25% จนมาเป็น 50% และเริ่มค้างจ่ายเงินเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ บรรดาลูกน้องผมเริ่มร้อนรนไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้ผ่อนรถ ผ่อนสเตอริโอ... และเมื่อถึงวันที่บริษัทประกาศลดขนาดองค์กรลง (แปลง่ายๆว่าปลดออกนั่นแหละ)

ผมก็เป็นคนนึงที่ได้รับซองขาวด้วย แต่สำหรับผมชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กบ้าง คือบังเอิญก่อนหน้านั้นไม่นานผมเพิ่งไปลงเรียน MBA ฉนั้นจากเดิมที่ทุกเย็นต้องขับรถประมาณ 140 กม. เพื่อเข้ามาเรียน ผมก็แค่เปลี่ยนมาเป็นขับรถจากบ้านแถวบางกะปิไปสามย่ายเท่านั้น ค่าเรียน MBA ประมาณเกือบสองแสน (ราคาในสมัยนั้น) ผมเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เงินเก็บที่ผมมีอยู่ในตอนนั้น (หักค่าเรียน MBA) เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของผมไปได้ประมาณ 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย

ในขณะที่ลูกน้องที่เคารพของผมต้องปวดหัววิ่งหลบหน้าเจ้าหนี้ วิ่งไปร้องเรียกเงินค่าชดชเยจากบริษัท วันนั้นผมมีเวลามานั่งคิดกับตัวเองว่า ยังอยากเป็นลูกจ้างอยู่หรือไม่ หรือหลังจากนี้จะเอายังไงกับอนาคตของตัวเองดี... ซึ่งสุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ผมเลือกที่จะไม่เป็นลูกจ้างต่อไป เมื่อเรียนจบ MBA ผมยังมีเงินเก็บเหลือพอที่จะลงทุนเปิดธุรกิจเล็กๆกับเพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน

ที่ผมมาเล่ามานี้ไม่ได้บอกว่าผมเก่งแต่อย่างใด แต่ผมอยากจะบอกว่า มุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยมันอาจจะสร้างความแตกต่างมี่มหาศาลเมื่อเวลาผ่านไป

ในชีวิตของผม ผมก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ในทุกครั้งผมก็บอกเล่าและแนะนำวิธีคิด วิธีใช้ชีวิตของผมให้กับคนที่อยู่รอบข้าง เพราะผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ และทุกครั้ง feed back ส่วนใหญ่ที่ผมได้รับก็คือ เค้าฟังนะแต่ก็ยังเลือกใช้ชีวิตเช่นเดิมเพราะพวกเค้าไม่เชื่อว่าปัญหานั้นจะมากระทบกับตัวพวกเค้าเอง หรือเห็นด้วยว่าดีแต่ยังไม่ใช่พวกเค้าล้วนต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตไปจากเดิม ต้องเปลี่ยนแปลงโดยที่พวกเค้าไม่มีสิทธิเลือก ไม่มีสิทธิควบคุมทิศทางการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งวิกฤติรอบนี้ก็ต้องผ่านพ้นไป โดยที่มีคนส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบ มากบ้าง น้อยบ้าง และไม่นานจากนี้มันก็จะมีวิกฤติรอบใหม่กลับมาอีก ผมไม่รู้ว่าใครจะผ่านมันไปได้หรือไม่ หรือใครต้องกลายเป็นเหยื่อของมัน ผมรู้แค่ว่าผมอาจจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ผมไม่เป็นเหยื่ออย่างแน่นอน.... แนวทางการสร้างความมั่งคั่งด้วยการออมนี้ อย่างน้อยที่สุดถ้าคุณไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน คุณก็จะไม่มีทางกลายเป็นเหยื่อของวิกฤติเศรษฐกิจอย่างแน่นอน :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น