วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

บทที่3-คุณมีโอกาสเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างหรือเปล่า?

"ความมั่งคั่ง" เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) อยากมี แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจหลักการสำคัญอันเป็นแก่นที่จะทำให้ตัวเองมั่งคั่งได้อย่างแท้จริง นั่นคือ

"ความมั่งคั่ง" เป็นเรื่องของการ "สะสม" หรือ "สั่งสม" (ความมั่งคั่ง = การสะสม)

โดยคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า "ความมั่งคั่ง" คือ การหาเงินได้มาก และทำให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่นั่นเป็นเพียงปลายทาง ไม่ใช่จุดเริ่มต้น

ตัวอย่างเช่น ครอบครัว a มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน แต่ครอบครัว a มีค่าใช้จ่าย 45,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b นั่นมีรายจ่ายเพียงแค่ 12,000 บาทต่อเดือน

อย่างนี้ในท้ายที่สุด ครอบครัว a จะคงเหลือความมั่งคั่งอยู่เท่ากับ 5,000 บาท ในขณะที่ครอบครัว b นั้น คงเหลืออยู่ที่ 8,000 บาท อย่างนี้ครอบครัว b ก็มีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งมากกว่า เพราะสะสมเงินได้มากกว่า

จะเห็นได้ว่า ตัวแปรสำคัญสู่ความมั่งคั่ง ก็คือ เงินคงเหลือ หรือเงินออม ซึ่งผูกโยงโดยตรงกับรายได้ และค่าใช้จ่าย ดังสมการ

ความมั่งคั่ง (เงินคงเหลือ) = รายได้ - ค่าใช้จ่าย นั่นเอง

ดังนั้น หากเราต้องการเพิ่มความมั่งคั่ง ก็สามารถทำได้ 2 ทาง นั่นคือ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย ซึ่งในมุมมองของผม การสร้างรายได้นั้นเป็นการดึงดูดเงินคนอื่นมาเป็นของเรา (โดยสุจริต) ซึ่งทำได้ยากกว่า การจัดการค่าใช้จ่าย (ย้ำ! ว่าไม่ใช่การลดค่าใช้จ่าย) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการกับตัวเราเองโดยตรง

โดยสรุป หากท่านต้องการที่จะมั่งคั่ง ท่านต้องบริหารจัดการรายจ่ายของตัวเองให้มีความเหมาะสม เพื่อที่จะขยับเพิ่ม "เงินออม" หรือความมั่งคั่งของตัว ให้มีการสะสมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

คำถาม คือ รายจ่ายอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

คำตอบ: ขึ้นกับแต่ละบุคคลจะพิจารณาว่า รายจ่ายใดจำเป็น รายจ่ายใด ไม่จำเป็น และสามารถปรับลดได้ แต่สำหรับผม ผมมองเห็นโอกาสสะสมความมั่งคั่งเพิ่มเติมจาก การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อาทิ ค่าบุหรี่ ค่ากาแฟ ค่าหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารบางฉบับ หรือ อะไรก็ตามที่ท่านมักจับจ่ายโดยความเคยชิน และทำให้ตัวเองรู้สึเอาเองว่า ขาดไม่ได้ นั่นแหละ คือ รายจ่ายที่เข้าข่ายต้องพิจารณา

สมมติ รายจ่ายดังกล่าวเป็นกาแฟสดสักถ้วย ที่ท่านต้องซื้อดื่มเป็นประจำในวันทำงาน สมมติว่ากาแฟถ้วยนั้นมีราคา 25 บาท ถ้าท่านดื่มทุกวันจันทร์-ศุกร์ ค่าใช้จ่ายกาแฟสดในแต่ละสัปดาห์ของท่านก็จะเท่ากับ 125 บาท (25 บาท/วัน x 5 วัน) หรือคิดเป็นปี เท่ากับ 6,250 บาท (คิด 1 ปี เราทำงาน 50 สัปดาห์) หากดื่มกินต่อเนื่อง 30 ปี จะเป็นเงินทั้งสิ้น 187,500 บาท

จะว่าไปก็ดูไม่เยอะมากเท่าไหร่ ทีนี้เราลองทำในสิ่งตรงกันข้ามบ้างดีกว่า คือ เอาเงิน 125 บาทต่อสัปดาห์ (สมมติว่าเลิกดื่มกาแฟสด ทานกาแฟออฟฟิตเอา ... ฮา) ไปลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี จะเกิดอะไรขึ้น

1 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 7,150 บาท

5 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 43,651 บาท

10 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 113,953 บาท

15 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 227,173 บาท

30 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 1,176,132 บาท

จะเห็นว่าจากค่าใช้จ่ายโดยความเคยชิน 187,500 ในระยะเวลา 30 ปี กลับกลายเป็นทรัพย์สินเงินล้านได้อย่างสบายๆ

อย่างไรก็ดี ตัวอย่าง ข้างต้นมิได้นำเสนอขึ้น เพื่อให้ท่านใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียว แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท่านเห็นโอกาสของตัวเองในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่พยายามทำความเข้าใจกับหลักการสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง นั่นคือ การบริหารการใช้จ่ายและการเก็บออมเท่านั้น

ถึงตรงนี้ หลายท่านคงพอมีหวังจะเป็นเศรษฐีเงินล้านเหมือนกับคนอื่นกันแล้วใช่มั๊ยครับ คราวหน้าเรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะเริ่มต้นออมกันอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร

แล้วพบกันครับ

"การใช้จ่ายของคุณในวันนี้ คือ ตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของคุณในอีก 20-30 ปีข้างหน้า"


ที่มา:http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?f=5&t=4330
โดย:คุณDavinci ผู้ก่อตั้งชมรม RichDadthai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น