วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหตุผลของคนแพ้

ด้วยเหตุของการเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนจำนวนไม่น้อย และพบเห็นความคิดของคนแต่ละคน ที่มาขอคำปรึกษา ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จทางการเงิน

ผลของการพูดคุย คงไม่ต้องบอกว่าใครมากกว่ากันระหว่างคนสำเร็จกับคนล้มเหลว เพราะจากที่เห็นประเมินตัวเลขเป็นอัตราส่วนคร่าวๆ ก็น่าจะประมาณ 1 ต่อ 10 เลยทีเดียว

ย่ิงนานวันเข้า พูดคุยบ่อยเข้า ก็เริ่มเห็นรูปแบบ (Pattern) ความคิดของทั้งผู้ชนะและผู้แพ้มากขึ้นเรื่อยๆ จนหลังๆ เร่ิมทำตัวเป็นหมอดู ทำนายทายทักลูกค้าไปตรงๆ เลยว่า “คิดแบบนี้มีโอกาสสำเร็จ” (แค่มีโอกาส เพราะยังไม่ได้ทำ)​ และ “คิดแบบนี้ไม่มีทางสำเร็จ” ซึ่งก็มีบ้างที่เชื่อและปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น และก็มีอีกไม่น้อย ที่ด่ากลับมา (55)

วันนี้ผมอยากมาเล่าลักษณะความคิดของคน 90% ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แบ่งปันให้กับคุณผู้อ่าน เพื่อใช้ตรวจสอบตัวเองว่า เราหลงเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนไม่ประสบความสำเร็จหรือเปล่า ซึ่งจากประสบการณ์ของการให้คำปรึกษาที่ผ่านมา พอจะแบ่งแนวคิดของผู้แพ้ได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

1. จนเงิน

พวกนี้มองว่า จะทำอะไร เริ่มต้นอะไร ก็ต้องมี “เงิน” ก็ในเมื่่อทุกวันนี้มันไม่มีเงิน มันจะรวยได้อย่างไร? ดังนั้นโจทย์เริ่มต้นของคนกลุ่มนี้จึงเริ่มที่เงิน ต้องรอให้มีเงินก่อนถึงจะลงมือทำอะไรได้ ทุกวันนี้ไม่มีเงิน พี่แกก็เลยยังไม่ทำอะไร

ครั้งหนึ่งผมเคยไปบรรยายที่บริษัทชั้นนำของประเทศแห่งหนึ่ง แนะนำวิธีการจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อคอยตรวจสอบการใช้จ่ายของตัวเอง พนักงานท่านหนึ่งยกมือขึ้น แล้วถามผมว่า ก็ในเมื่อเดือนๆ หนึ่งใช้จ่ายไ่ม่เคยเหลือ แถมยังเป็นหนี้ แล้วจะให้จดไปทำไม จดไปก็ไม่มีเงินเหลืออยู่ดี

ดูเอาแล้วกัน แค่จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายของตัวเอง ยังต้องรอให้มีเงินมากพอให้จดได้

ที่พบบ่อยที่สุดของคนกลุ่มนี้ คือ กลุ่มคนที่มีความฝัน มีความหวัง แต่มักใช้เงินเป็นข้ออ้างของการเริ่มต้น เช่น ถ้าฉันมีเงินสักก้อนนะฉันจะ …………….. หรือ อยากทำธุรกิจ​ …….. จัง แต่ไม่รู้จะหาเงินจากไหน?

สุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็กลายเป็นได้แค่คนช่างฝัน ฝันใหญ่ไว้คุยสนุกกับเพื่อน ชอบตั้งคำถาม แต่ไม่เคยหาคำตอบ (ทั้งที่ก็รู้โจทย์อยู่) อย่างนี้ ทำยังไงก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จทางการเงินได้ เพราะอันที่จริงแล้ว “เงิน”​ มาทีหลัง “แผนการลงทุน​“​ ด้วยซ้ำ

2. จนความคิด

อันนี้หนักกว่ากลุ่มที่แล้วอีก นั่นคือ ชีวิตนี้คิดอะไรไม่ออกเลย ทุกเรื่อง ทุกทางออก อุดมไปด้วยอุปสรรค และเหตุผลดีดีที่จะไม่เร่ิม ไม่ลงมือทำ หรือทำไม่ได้

แนะนำให้ลงทุนหุ้น บอกเสี่ยง ชวนทำธุรกิจ ก็บอกไม่มีความชำนาญ แนะให้ทำงานต่อไป ก็บอกเบื่อ ไม่เติบโต ไม่ใช่งานที่รัก ที่ชอบ

พวกมีข้ออ้างยังว่าหนัก พวกคิดสร้างสรรค์อะไรไม่ได้เลยยิ่งไปกันใหญ่ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ตอบไม่ได้ ไม่รู้ ที่ตอบไม่ได้หรือไม่รู้ เป็นเพราะจิตสำนึกของเขาทำงานต่อต้านทุกครั้งที่เร่ิมคิดเริ่มฝัน สมองคิดไอเดียดีๆขึ้นมา ก็นั่งหาเหตุผลที่จะทำไม่ได้ ไม่ใช่เราอยู่เรื่อยไป

ที่หนักที่สุดของคนกลุ่มนี้คือ เมื่อปล่อยให้ระบบความคิดของคนแพ้เข้ามาในหัวบ่อยๆ สุดท้ายมันจะกัดกินไปถึงจิตใต้สำนึกของตัวเอง ลามไปถึงระบบ “ความเชื่อ” ทีนี้ทำอย่างไรก็กู่ไม่กลับแล้ว เพราะคนเราเมื่อไม่เชื่อตัวเองเสียแล้ว ทำอะไรก็อย่าหวังความสำเร็จเลย

3. จนมิตรช่วยเหลือ

พวกนี้เป็นพวกช่างโทษ โทษทุกอย่างรอบตัวได้หมด เพื่อให้ตัวเองสบายใจที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ไม่รู้สึกผิดมากจนเกินไป

ไม่มีเงินโทษเจ้านายให้ค่าจ้างน้อย เงินใช้จ่ายไม่พอ โทษลูกเมีย ไม่มีทุน โทษพ่อแม่จน และที่นิยมที่สุด ทำอะไรไม่ขึ้น โทษโชคชะตาและเจ้ากรรมนายเวร พูดง่ายๆ โทษอะไรก็ได้ ยกเว้นตัวเอง

คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มขาด “ความรับผิดชอบทางการเงิน” (Financial Responsibility) ซึ่งถือเป็นจุดเร่ิมต้นสำคัญของการประสบความสำเร็จทางการเงิน เพราะเมื่อเราผลักภาระความรับผิดชอบให้คนอื่น เราก็จะไม่ได้ลงมือคิดหรือทำอะไร เพื่อแก้ปัญหา และเรียนรู้จากปัญหานั้น เพื่อเพิ่มพูนภูมิคุ้มกันทางการเงิน

4. จนความกล้า

ฟังชื่อกลุ่มนี้แล้วอาจดูแปลก แต่ลักษณะของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ นั่นคือ ไม่ได้จนเงิน จนถึงกับไม่มีหรือหาไม่ได้ ไม่ได้จนความคิด เพราะเสาะแสวงหาหนทางที่ดีอยู่เสมอ จนรู้แจ้งแล้วว่าชีวิตพอมีหนทางที่เป็นไปได้ มีความรับผิดชอบ ไม่โทษคนอื่น พร้อมแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่มันติดอยู่ที่ส่ิงสุดท้าย ก็คือ “ตัวเอง”

นั่นคือ “กลัว”​ ไม่กล้าเร่ิมต้น แม้จะเห็นหนทางแล้วว่าไปได้ ประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างคนที่แย่กว่าตัวเองแล้วทำสำเร็จได้ก็มีให้ดู แต่ก็ยังไม่กล้า กลัวความล้มเหลว กลัวความพ่ายแพ้ กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกถากถาง กลัวคนอื่นมองไม่ดี และอื่นๆ

คนกลุ่มนี้มีวิธีการแก้ปัญหาอย่างเดียว คือ ต้องแบ่งเป้าหมาย (ความสำเร็จ) ของตัวเองเป็นจิกซอว์ชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ ลงมือทำ ให้ประสบความสำเร็จไปทีละน้อย อย่าไปมองภาพใหญ่อย่างเดียว เพราะนั่นจะทำให้กลัว และไม่กล้าเริ่ม

แต่โดยทั่วไปแล้ว คนกลุ่มที่สี่นี้ ยังถือว่าพอพัฒนาให้ประสบความสำเร็จได้ เพราะอย่างน้อย เขารู้แล้วว่าปัญหาทางการเงินเป็นภาระของตัวเขาเอง รู้จักเรียนรู้ หรือหาความรู้ที่จะแก้ปัญหาตัวเอง (ไม่จนความคิด) และไม่จนเงิน (เนื่องจากรับผิดชอบปัญหาตัวเอง เรื่องพื้นฐานการเงินจึงพอไปได้) เพียงแต่ต้องค่อยๆพัฒนาความกล้า และยกระดับความเชื่อของตัวเองทีละน้อยก็เท่านั้น

คนสี่ลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น แม้จะยากที่จะประสบความสำเร็จทางการเงิน แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทางเสียทีเดียว จุดเร่ิมต้นก็เพียงแค่ ค้นพบและยอมรับในส่ิงที่ตัวเองเป็น บอกกล่าวโค้ชหรือคนที่ตัวเองรัก เพื่อหาทางพัฒนาความ “จน”​ ที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จทางการเงิน ให้กลายเป็นความมั่งค่ังในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ

“ความพ่ายแพ้เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว”

เราทุกคนเป็นผู้ชนะทางการเงินได้ครับ

อ้างอิงจาก:
http://jakkapong.wordpress.com/2011/07/23/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น